Fibonacci คืออะไร? รวมครบวิธีการใช้งาน Fibonacci

ธรรมชาติในปัจจุบันเครื่องมือที่ช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบคงหนีไม่พ้นกราฟทางเทคนิค ซึ่งมีอยู่ทฤษฎีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นคือ Fibonacci ในบทความนี้จะพามาทำความรู้จักและเข้าใจการใช้งาน Fibonacci 

Fibonacci คืออะไร

Fibonacci เป็นลำดับของตัวเลขที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีการใช้งานและการประยุกต์ในหลากหลายสาขาวิชา ทั้งในวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ธรรมชาติและการเงิน ลำดับ Fibonacci ถูกตั้งชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีที่ค้นพบชื่อว่า เลโอนาร์โดแห่งปีซา (Leonardo of Pisa) หรือรู้จักกันในชื่อ ฟีโบนัชชี (Fibonacci) ที่ทุกคนเรียกสั้น ๆ ว่า "Fibo"

Leonardo of Pisa ค้นพบทฤษฎี Fibonacci ด้วยความที่เขาเป็นคนช่างสังเกตและเดินทางบ่อย จึงเห็นธรรมชาติรอบ ๆ ตัวมีความพิเศษและทุกอย่างล้วนมีสัดส่วนที่เท่ากันไม่ว่าจะเป็น สัดส่วนของเปลือกหอย สัดส่วนคลื่นทะเล สัดส่วนของดอกไม้และอื่น ๆ อีกมากมาย

เลขลำดับฟิโบนัชชี (Fibonacci Number)

เลขลำดับฟิโบนัชชี (Fibonacci Numbers) เป็นลำดับของตัวเลขที่มีความสำคัญและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในทางคณิตศาสตร์ โดยลำดับ Fibonacci เริ่มต้นด้วยตัวเลขสองตัวคือ 0 และ 1 ตัวเลขที่เหลือในลำดับถัดไปจะเป็นผลรวมของตัวเลขสองตัวก่อนหน้า ดังนี้

0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233, 377, 610, 987, ...

สำหรับ n≥2 ตัวเลข Fibonacci ที่ตำแหน่ง 𝑛 สามารถคำนวณได้จากสูตร

F(n)=F(n−1)+F(n−2)

F(n)=F(n−1)+F(n−2)

โดยที่

F(0)=0 และ F(1)=1

ตัวอย่างการคำนวณลำดับฟิโบนัชชี

• F(2)=F(1)+F(0)=1+0=1
• F(3)=F(2)+F(1)=1+1=2
• F(4)=F(3)+F(2)=2+1=3
• F(5)=F(4)+F(3)=3+2=5

‍

‍

ความมหัศจรรย์ของ Fibonacci เมื่อนำค่าที่มาก หาร ค่าที่น้อย ก็จะพบว่ามีค่าประมาณ 1.618 ทุกจำนวน สิ่งนี้เรียกว่า อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) หรือ Phi (Φ) 

ฉะนั้น Golden Ratio มีค่าเท่ากับ 1.618

ความมหัศจรรย์ของ Golden Ratio พบได้หลากหลายที่ไม่ว่าจะเป็น

ธรรมชาติ โดย Golden Ratio พบได้ในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กลีบดอกไม้ เปลือกหอย ใบไม้ โครงสร้างร่างกายมนุษย์

ความงาม โดย Golden Ratio ถูกมองว่าเป็นอัตราส่วนที่สวยงามที่สุด และถูกนำมาใช้ในการออกแบบงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และงานออกแบบอื่น ๆ

ความสมดุล โดย Golden Ratio สร้างความสมดุลและความน่าสนใจในการจัดวางองค์ประกอบ

วิธีใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement

Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้ในการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน เครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างมากในการคาดการณ์การกลับตัวของราคา (retracement) หรือการยืนยันแนวโน้ม (trend continuation) ของตลาด นิยมใช้ในตลาดการเงิน เช่น หุ้น Forex คริปโต และทอง วิธีการใช้งานเครื่องมือ Fibonacci Retracement มีดังนี้

‍

• ระบุจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) โดยการหาจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ชัดเจนในกราฟราคา
• วาดเส้น Fibonacci Retracement เลือกเครื่องมือ Fibonacci Retracement จากโปรแกรมวิเคราะห์กราฟ คลิกที่จุด Swing High ลากไปยังจุด Swing Low เส้น Fibonacci Retracement จะปรากฏขึ้น แสดงสัดส่วนต่างๆ เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, 78.6%
• วิเคราะห์แนวรับแนวต้าน โดยคาดการณ์ว่าราคาจะดีดกลับหรือทะลุผ่านแนว Fibonacci Retracement ระดับต่างๆให้ใช้จุด Fibonacci Retracement เป็นแนวรับแนวต้านเพื่อวางแผนการซื้อขาย

เทคนิคการตี Fibo อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ใช้จุด Swing High และ Swing Low ที่ชัดเจน

2. ใช้เส้น Fibonacci Retracement หลายระดับ โดยเปรียบเทียบจุดราคาที่สัมผัสกับแนว Fibo แต่ละระดับ

3. พิจารณาแนวโน้มตลาด วิเคราะห์แนวโน้มตลาดโดยรวมว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลงให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด

4. ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ ประกอบการวิเคราะห์ด้วยอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น Moving Average, RSI, MACD เพื่อยืนยันแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย

5. ตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit กำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง และกำหนดจุด Take Profit เพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไร

‍

เรื่องน่ารู้ก่อนใช้ Fibonacci Retracement

1. แนวโน้มของตลาดต้องมีความชัดเจน

เพื่อใช้งาน Fibonacci Retracement ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวโน้มของตลาดต้องมีความชัดเจนว่าเป็นตลาดขาขึ้นหรือขาลง เมื่อแนวโน้มที่ชัดเจนจะช่วยให้การเลือกจุดสูงสุดและต่ำสุดในการวัดระดับ Fibonacci ถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์มีความแม่นยำยิ่งขึ้น

2. ตลาดขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่า

ในตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายสูง เช่น Bitcoin หรือหุ้นขนาดใหญ่ การใช้ Fibonacci Retracement จะให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่า เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวของราคาที่สมบูรณ์และสม่ำเสมอ ในขณะที่ตลาดขนาดเล็กอาจมีความผันผวนสูงและให้สัญญาณที่ไม่น่าเชื่อถือ

3. ใช้ควบคู่กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ

ถึงแม้ว่า Fibonacci Retracement จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพด้วยตัวมันเอง การใช้มันควบคู่กับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น Bollinger Bands, Stochastic RSI, และ Ichimoku Cloud จะเพิ่มความแม่นยำและความน่าเชื่อถือในการวิเคราะห์ ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยยืนยันข้อมูลที่ได้รับจาก Fibonacci Retracement และให้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้น

4. การเลือกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

การเลือกจุดสูงสุดและต่ำสุดในการวาด Fibonacci Retracement มีความสำคัญอย่างมาก การเลือกจุดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาด ควรเลือกจุดที่เป็นจุดกลับตัวที่ชัดเจนและมีความสำคัญในกราฟราคา

5. การปรับเปลี่ยนระดับ Fibonacci

ระดับพื้นฐานของ Fibonacci ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6% แต่สามารถปรับเปลี่ยนและเพิ่มระดับอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของการวิเคราะห์และประเภทของสินทรัพย์ที่กำลังวิเคราะห์

6. การตรวจสอบความแม่นยำของสัญญาณ

ควรตรวจสอบสัญญาณที่ได้รับจาก Fibonacci Retracement ด้วยการดูประวัติราคาในอดีต หากระดับ Fibonacci เหล่านี้มักทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านในอดีต โอกาสที่จะมีความแม่นยำสูงในการคาดการณ์อนาคตก็จะมากขึ้น

7. การจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ Fibonacci Retracement ตั้งจุดหยุดขาดทุน (stop loss) และเป้าหมายกำไร (take profit) อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด การมีแผนการจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8. ไม่สามารถใช้งานเดี่ยวได้

Fibonacci Retracement ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือเดี่ยวในการวิเคราะห์ ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น การวิเคราะห์พื้นฐาน (fundamental analysis) และการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยง

ประโยชน์ของ Fibonacci Retracement

Fibonacci Retracement มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งในการ หาแนวรับแนวต้าน คาดการณ์การกลับตัวของราคา กำหนดจุดเข้าออก การจัดการความเสี่ยง ที่สำคัญช่วยให้ผู้ใช้งานตัดสินใจที่จะทำอะไรง่ายขึ้นเพราะมีข้อมูลต่าง ๆ มารองรับ

‍

สรุป

เครื่องมือ Fibonacci เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดเครื่องมือหนึ่งของเทรดเดอร์ ซึ่งสามารถช่วยระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่  เพื่อให้สามารถกำหนดระดับราคาทั้งซื้อและขายได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องมือนี้ไม่สามารถป้องกันความผิดพลาดได้ ควรใช้คู่กับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ และมีความรู้ความเข้าใจในการใช้งาน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

‍