ผู้ก่อตั้ง Cardano ตั้งทีมล็อบบี้นโยบายคริปโต หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง – เร่งตั้งสำนักงานนโยบายในวอชิงตัน

ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน ผู้ก่อตั้ง Cardano เปิดเผยว่า เขากำลังจัดตั้งสำนักงานนโยบายภายในบริษัท Input Output ของเขาเพื่อสนับสนุนการพัฒนานโยบายสกุลเงินดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา

“ผมจะใช้เวลาทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบายในกรุงวอชิงตัน ดีซี และใช้เวลาส่วนใหญ่กับสมาชิกฝ่ายบริหารในการช่วยส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับผู้นำคนสำคัญคนอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับนโยบายด้านคริปโต” ฮอสกินสันอธิบายในวิดีโอที่โพสต์บน X เมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน

“โอกาสที่ดีที่สุด” คือตอนนี้

ฮอสกินสันย้ำว่า “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ที่พรรครีพับลิกัน “จะไม่เพียงแต่ควบคุมวุฒิสภาและตำแหน่งประธานาธิบดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎรด้วย”

เขาเชื่อว่านี่เป็น “โอกาสที่ดีที่สุด” สำหรับอุตสาหกรรมคริปโตในการได้รับความชัดเจน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยทรัมป์ได้หาเสียงโดยให้คำมั่นว่าจะจัดเตรียมเส้นทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตหากได้รับการเลือกตั้ง

การประกาศของฮอสกินสันเกิดขึ้นหลังจากที่อุตสาหกรรมคริปโตประสบกับความปั่นป่วนมาเป็นเวลาหลายปี โดยผู้บริหารในอุตสาหกรรมคริปโตหลายคนอ้างว่าสหรัฐฯ กำลังตามหลังส่วนอื่น ๆ ของโลกอยู่

แบรด การ์ลิงเฮาส์ ซีอีโอของเครือข่ายชำระเงินแบบบล็อคเชนของ Ripple เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อสาธารณชนหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมาในระหว่างการต่อสู้ทางกฎหมายอันยาวนานระหว่าง Ripple  กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC)

ในเดือนมีนาคม 2023 การ์ลิงเฮาส์กล่าวว่า แนวทางการกำกับดูแลของ SEC ทำให้สหรัฐฯ ตกอยู่ใน “ความเสี่ยงอย่างรุนแรง” ที่จะตกยุคในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมบล็อคเชนและสกุลเงินดิจิทัล

ในขณะเดียวกัน ฮอสกินสันก็เชื่อว่านโยบายด้านคริปโตควรได้รับการเขียนโดย “ประชาชนชาวอเมริกัน , อุตสาหกรรมคริปโตของอเมริกา , และโดยผู้กำหนดนโยบายที่มีเจตนาดี”

“พวกเราไม่มีใครลงนามเพื่อให้บริษัทอย่าง BlackRock เข้ามากำหนดนโยบายด้านคริปโตของสหรัฐฯ” ฮอสกินสัน กล่าวอ้าง

ฮอสกินสันกล่าวถึงการมี “มิตรภาพส่วนตัว” กับสมาชิกรัฐสภาและสมาชิกในรัฐบาลทรัมป์ และเสริมว่าเขา “หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่ง” ในการกำหนดนโยบายเมื่อทรัมป์เริ่มบริหารประเทศในปี 2025

อ้างอิง : cointelegraph.com

‍