Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com

February 5, 2025
ข่าว
1
min read

ก้าวสำคัญ! ร่างกฎหมาย Stablecoin สหรัฐฯ มาแล้ว หนุนการเติบโตพร้อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของเฟด

วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ บิล ฮาเกอร์ตี้ ได้เสนอร่างกฎหมายเพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลสำหรับ Stablecoin ซึ่งจะทำให้โทเค็นเช่น Tether และ USD Coin อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ สมาชิกพรรครีพับลิกันแห่งรัฐเทนเนสซีกล่าวในแถลงการณ์ว่าร่างกฎหมาย Stablecoin จะสร้าง “กรอบกำกับดูแลที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเติบโต” และส่งเสริมคำมั่นสัญญาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะทำให้สหรัฐฯ เป็น “เมืองหลวงแห่งสกุลเงินดิจิทัลของโลก”

ร่างกฎหมายนี้มีชื่อว่า “Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins (GENIUS) Act” และได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก ทิม สก็อตต์, เคิร์สเตน กิลลิแบรนด์ และซินเทีย ลัมมิส

ฮาเกอร์ตี้ ยังโพสต์บน X (Twitter) ว่าเขาหวังว่าจะได้ร่วมมือกับ Representative French Hill และคณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เพื่อผลักดันร่างกฎหมายนี้ให้ผ่านการอนุมัติและลงนามเป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดี

เนื้อหาหลักของร่างกฎหมาย GENIUS Act

ร่างกฎหมาย GENIUS Act พัฒนาต่อจากร่างกฎหมาย Clarity for Payment Stablecoins Act ที่เคยเสนอโดยอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แพทริค แม็กเฮนรี่ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

GENIUS Act ให้คำนิยาม Stablecoin ว่าเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตรึงมูลค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ และกำหนดให้ผู้ออก Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาด เกิน $10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ออก Stablecoin ที่มีมูลค่าต่ำกว่านั้นจะอยู่ภายใต้กฎระเบียบของรัฐแทน

นอกจากนี้ ผู้ออก Stablecoin จะต้อง จัดทำรายงานเงินสำรองที่ได้รับการตรวจสอบบัญชี (audited reserve reports) ทุกเดือน และหากให้ข้อมูลเท็จ อาจเผชิญบทลงโทษทางอาญา

นักข่าวของ FOX Business, เอเลนอร์ เทอร์เรตต์ รายงานผ่าน X ว่า เจ้าหน้าที่สภาคองเกรสคาดว่าร่างกฎหมายนี้จะผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เดวิด แซ็กส์ ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้าน AI และคริปโตของทำเนียบขาว แสดงความตั้งใจอย่างจริงจังในการสนับสนุนกฎหมาย Stablecoin โดยกล่าวว่า

“Stablecoin มีศักยภาพในการส่งเสริมอำนาจของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระดับสากล และช่วยให้เงินดอลลาร์ถูกใช้งานในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้นในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก ซึ่งอาจสร้างความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์”

อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ foxnews.com

ข่าวที่คุณอาจสนใจ