ทรัมป์ ลงนามคำสั่งจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ แง้มอาจเปิดทางลงทุน Bitcoin

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อสั่งให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ โดยผู้สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและสมาชิกรัฐสภาอย่างน้อย 1 คนระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจนำไปสู่การที่รัฐบาลเข้าซื้อ Bitcoin

ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (EO) ในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ โดยสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก๊อตต์ เบสเซนต์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ฮาวาร์ด ลุตนิค เริ่มกระบวนการที่จะ “นำไปสู่การสร้างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของอเมริกา” ตามที่เบสเซนต์กล่าว คำสั่งนี้จะมีผลบังคับใช้ “ภายใน 12 เดือนข้างหน้า” และ “ทำให้สินทรัพย์ของงบดุลของสหรัฐฯ เกิดมูลค่า”

ทรัมป์ , เบสเซนต์ , และลุตนิคไม่ได้ระบุเจาะจงว่ากองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นจะลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเช่น Bitcoin หรือไม่ แต่พวกเขาใบ้ว่ารัฐบาลอาจจะซื้อกิจการ TikTok แอปแชร์วิดีโอที่ยังคงอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนดให้บริษัทแม่ ByteDance ต้องขายกิจการในสหรัฐฯ หรือเผชิญกับการห้ามดำเนินกิจการ

วุฒิสมาชิกไซนิเธีย ลัมมิส โพสต์บน X หลังจากการลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อใบ้ว่ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินี้อาจใช้ซื้อ Bitcoin รวมถึง นักสนับสนุน Bitcoin เวย์น วอห์น ซึ่งเคยเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ สร้างคลังสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ กล่าวว่าเบสเซนต์และลุตนิค “ชอบ Bitcoin ทั้งคู่” และอาจจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งเพื่อลงทุนในคริปโต

ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับคำสั่งบริหารของทรัมป์

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งบริหารหลายฉบับที่เผชิญการฟ้องร้องทันทีจากองค์กรและหน่วยงานที่ตั้งคำถามถึงอำนาจของประธานาธิบดีในการออกกฎหมายผ่านการกระทำฝ่ายบริหาร ตัวอย่างเช่น ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้ระงับคำสั่งบริหารที่พยายามยกเลิกสิทธิการเกิดตามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 14 โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าว “ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง”

หนึ่งในคำมั่นสัญญาในการหาเสียงของทรัมป์ สัญญาว่าจะนิรโทษกรรมให้กับผู้ก่อตั้ง Silk Road Ross Ulbricht , จัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin , ให้ Bitcoin ทั้งหมดถูกขุดในสหรัฐฯ , และหยุดการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) เมื่อวันที่ 23 มกราคม เขาลงนามคำสั่งบริหารอีกฉบับหนึ่งเพื่อจัดตั้งกลุ่มทำงานคริปโตและห้ามการใช้ CBDC แต่ยังไม่ชัดเจนว่าคำสั่งนี้จะเผชิญกับข้อท้าทางทางกฎหมายหรือไม่

อ้างอิง : cointelegraph.com

‍