Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com

April 22, 2025
ข่าว
1
min read

PlanB สับเละ Ethereum ! เย้ย Vitalik ตอนนี้ Ethereum ทั้งรวมศูนย์,ขุดล่วงหน้า,ขนาด Node

PlanB ผู้สร้างโมเดล Bitcoin Stock-to-Flow (S2F) ออกโรงวิจารณ์ Ethereum แบบจัดเต็ม พร้อมเหน็บ Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ด้วยโพสต์ย้อนอดีต

เริ่มจากโพสต์เก่าปี 2022 ที่ Vitalik เคยจิก S2F

PlanB หยิบโพสต์ของ Vitalik เมื่อปี 2022 ที่เคยบอกว่าโมเดล S2F “ดูไม่จืด” มาย้อนกลับด้วยคำว่า

“Ethereum ตอนนี้ต่างหากที่ดูไม่จืด”

จากนั้นเขาอธิบายเพิ่มเติมว่า Ethereum เป็นระบบที่ "ศูนย์กลางสูงและมีการพรีไมน์ (premined)" พร้อมตำหนิการเปลี่ยนมาใช้ระบบ Proof-of-Stake (PoS) และการเปลี่ยนนโยบายการออกเหรียญว่า

“เป็นสิ่งที่ควรถูกล้อเลียนด้วยเหตุผล”

ปัญหาเรื่อง Node ที่ PlanB ยกขึ้นมา

PlanB กล่าวว่าตัวเขาไม่สามารถรัน Full Node ของ Ethereum ได้ เพราะต้องใช้พื้นที่ดิสก์มากถึง 9 TB (ในความเป็นจริง “Archival Node” ต้องใช้มากกว่า 21.8 TB ส่วน Full Node ปกติที่ Prune ข้อมูลเก่าสามารถใช้เพียง 1.28 TB เท่านั้น ตามข้อมูลจาก Etherscan)

ในขณะที่ Bitcoin Full Node ใช้แค่ราว ๆ 700 GB และใช้พลังประมวลผลน้อยกว่า ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถรันได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ Bitcoin มีความกระจายตัวของเครือข่ายมากกว่า

แต่บางคนก็มองว่า PlanB มองข้างเดียว

Jeremiah O’Connor CTO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Trugard ด้านความปลอดภัยบนคริปโต ออกมาตอบโต้ว่า

“สิ่งที่ PlanB พูดคือพลังงานแบบ Bitcoin Maximalist ที่เสียงดัง มั่นใจ แต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว”

เขาอธิบายว่า Ethereum กับ Bitcoin มีจุดประสงค์ต่างกัน

  • Bitcoin คือทองคำดิจิทัล ใช้เก็บมูลค่า
  • ส่วน Ethereum คือ "คอมพิวเตอร์ของโลก" ที่ซับซ้อนกว่าอยู่แล้ว
“แน่นอนว่ามันจะต้องหนักกว่า”

เขายอมรับว่าการพึ่งพา Data Provider แบบ Infura ยังเป็นปัญหาเรื่องศูนย์กลาง แต่ชี้ว่าทีมนักพัฒนากำลังเร่งพัฒนาให้ Ethereum กระจายศูนย์มากขึ้นเรื่อย ๆ

Vitalik เป็นจุดอ่อน? | การ Rollback ครั้งเก่าเป็นเรื่องใหญ่มาก?

PlanB ยังตั้งคำถามถึงอิทธิพลของ Vitalik ที่อาจกลายเป็น “จุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว” ของ Ethereum แม้ล่าสุด Ethereum Foundation จะประกาศว่า Vitalik เริ่มถอยจากการบริหารและหันไปโฟกัสงานวิจัยแทน

PlanB ยังพาดพิงเหตุการณ์ DAO Hack ปี 2016 ซึ่ง Ethereum เคยย้อนธุรกรรมเพื่อกู้เงินของผู้ใช้งาน

“แค่ความเป็นไปได้ที่จะ Rollback ได้ ก็น่ากังวลแล้ว” เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม Bitcoin เองก็เคย Rollback มาแล้วเช่นกันในปี 2010 เมื่อมีบั๊กที่สร้างเหรียญ 184 BTC เกินออกมา ซึ่งทีมพัฒนาในตอนนั้น (รวมถึง Satoshi Nakamoto) ก็ต้องย้อนกลับบล็อกเพื่อแก้ไขปัญหา

PlanB ปิดท้ายด้วยการวิจารณ์ PoS ว่าส่งผลต่อราคาของ ETH

เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงด้านการออกเหรียญและรูปแบบการกำกับดูแลบน Ethereum ทำให้ “คุณค่า” ของ ETH ไม่มั่นคงเท่ากับ Bitcoin ที่มีอุปทานแน่นอนและชัดเจนตั้งแต่แรก

อ้างอิง : cointelegraph.com

ภาพ news.bitcoin.com

ข่าวที่คุณอาจสนใจ