Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com

December 27, 2024
บทความ

เรื่องควรรู้ก่อนเทรด การเทรดคืออะไร เทรดแล้วได้เงินจริงไหม?

เรื่องควรรู้ก่อนเทรด การเทรดคืออะไร เทรดแล้วได้เงินจริงไหม?

ในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราการเทรด (Trading) ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเทรดหุ้น สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเทรด แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการเทรด อาจสงสัยว่าการเทรดคืออะไร และเทรดแล้วได้เงินจริงไหม? 

เมื่อเริ่มต้นศึกษาเรื่องการเทรด ควรทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และวิธีการจัดการความเสี่ยงเหล่านั้น รวมถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการเทรด เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร การเทรดไม่ใช่เพียงแค่การเสี่ยงดวง แต่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลและใช้กลยุทธ์ที่มีเหตุผลรองรับ

การเทรดคืออะไร ?

ปลงของราคาสินทรัพย์นั้น ๆ ผู้ที่ทำการเทรดหรือเรียกว่า เทรดเดอร์ (Trader) ต้องใช้ทักษะในการวิเคราะห์ตลาด คาดการณ์แนวโน้มของราคา และตัดสินใจในการซื้อขายในเวลาที่เหมาะสม การเทรดหุ้นคือการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากหุ้นมีความผันผวนสูงและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ถ้าหากทิศทางได้ถูกต้อง 

การเทรดนั้นไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายไปมา แต่ต้องการการศึกษาและวางแผนที่ดี รวมถึงความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย เทรดเดอร์ต้องเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น ข่าวสารเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานเพื่อช่วยในการตัดสินใจ

การเทรดสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น การเทรดระยะสั้น (Day Trading) ที่เน้นการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา การเทรดระยะกลาง (Swing Trading) ที่เน้นการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาภายในช่วงเวลาสั้น ๆ และการเทรดระยะยาว (Position Trading) ที่เน้นการถือครองสินทรัพย์เป็นเวลานานเพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตามแนวโน้มหลัก

นอกจากการทำกำไรแล้ว การเทรดยังมีความเสี่ยงที่ผู้เทรดต้องคำนึงถึง ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ หรือปัจจัยที่ไม่คาดคิด เช่น เหตุการณ์ทางการเมืองหรือภัยธรรมชาติ การจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถรักษาทุนและทำกำไรในระยะยาวได้

ประเภทของการเทรด

Trading หรือการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นกิจกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น, พันธบัตร, สินค้าโภคภัณฑ์, และสกุลเงินดิจิทัล การเทรดช่วยให้เทรดเดอร์ (Trader) สามารถทำกำไรจากความเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในตลาด นี่คือประเภทของการเทรดยอดนิยม

1. Day Trading

Day Trading เป็นการเทรดที่เปิดและปิดตำแหน่งในวันเดียวกัน เทรดเดอร์มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาสั้น ๆ เป้าหมายคือการจับกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาสั้นมาก

2. Swing Trading

Swing Trading คือการเทรดที่เน้นการจับกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เทรดเดอร์ประเภทนี้มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานเพื่อวางกลยุทธ์

3. Scalping

Scalping เป็นรูปแบบของการเทรดที่เน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นมาก ๆ เทรดเดอร์ประเภทนี้จะเปิดและปิดตำแหน่งอย่างรวดเร็ว โดยปกติจะอยู่ในระดับวินาทีหรือไม่กี่นาที

4. Position Trading

Position Trading เป็นการเทรดที่เทรดเดอร์จะถือครองตำแหน่งเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่หลายเดือนถึงหลายปี เทรดเดอร์ประเภทนี้มักใช้การวิเคราะห์พื้นฐานเป็นหลักเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาวของตลาด

5. Algorithmic Trading

Algorithmic Trading หรือการเทรดด้วยโปรแกรม เป็นการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีอัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติ เทรดเดอร์จะตั้งค่าโปรแกรมเพื่อทำการซื้อขายตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

การเลือกประเภทของการเทรดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสไตล์และความสามารถของเทรดเดอร์ การเข้าใจประเภทต่าง ๆ ของการเทรดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พื้นฐานกลยุทธ์การเทรด

การเทรดคือหนึ่งในวิธีการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน โดยการเทรดคือการซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น, สกุลเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี ผ่านแพลตฟอร์มการเทรดต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลกำไรจากความแตกต่างของราคาซื้อและราคาขาย นักเทรด (Trader) หรือเทรดเดอร์ต้องการการศึกษาและกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้การเทรดของเขาประสบความสำเร็จ บทความนี้จะนำเสนอกลยุทธ์การเทรดพื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักลงทุนใหม่และนักลงทุนมืออาชีพ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักเทรดนิยมใช้มากที่สุด การวิเคราะห์นี้ใช้กราฟและตัวชี้วัดทางสถิติเพื่อทำนายแนวโน้มของราคาสินทรัพย์ นักเทรดใช้กราฟเพื่อระบุรูปแบบที่สามารถบ่งชี้ถึงโอกาสการลงทุนที่ดี โดยการศึกษาประวัติราคาที่ผ่านมาและปริมาณการซื้อขายเพื่อทำนายทิศทางของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตัวอย่างเช่น การใช้ตัวชี้วัดเช่น Moving Average, Relative Strength Index (RSI) หรือ Bollinger Bands เพื่อช่วยในการตัดสินใจ

การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis)

การวิเคราะห์พื้นฐานเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ตามปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการของบริษัท, การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, ข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อราคาสินทรัพย์ นักเทรดที่ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานจะทำการศึกษารายงานทางการเงิน, ข่าวสารทางเศรษฐกิจ, และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือสินทรัพย์นั้นๆ เพื่อตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์

การเทรดในช่วงสั้น (Scalping)

การเทรดในช่วงสั้น หรือ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดทำการซื้อขายในระยะเวลาสั้นๆ โดยเน้นทำกำไรจากความแตกต่างของราคาเล็กน้อย นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้มักจะทำการซื้อขายหลายครั้งในวันเดียว การเทรดแบบ Scalping ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง รวมถึงการใช้เครื่องมือเทรดที่สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว

การเทรดในช่วงยาว (Position Trading)

การเทรดในช่วงยาวเป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดทำการถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน เช่น สัปดาห์, เดือน หรือปี โดยเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะมีแนวโน้มขึ้นในระยะยาว นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้มักจะเน้นการวิเคราะห์พื้นฐานมากกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค และมักจะไม่สนใจความผันผวนของราคาในระยะสั้น

การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading)

การเทรดตามแนวโน้มเป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดทำการซื้อขายตามทิศทางของแนวโน้มที่เกิดขึ้นในตลาด หากราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มขึ้น นักเทรดจะทำการซื้อ และหากราคามีแนวโน้มลง นักเทรดจะทำการขาย กลยุทธ์นี้เน้นการใช้ตัวชี้วัดที่ช่วยในการระบุแนวโน้ม เช่น Moving Average หรือ MACD

 การเทรดตามข่าว (News Trading)

การเทรดตามข่าวเป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดทำการซื้อขายตามข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในตลาด การเทรดแบบนี้มักจะต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อตลาด เนื่องจากข่าวสารสามารถมีผลต่อราคาสินทรัพย์ได้ในทันที นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้ต้องมีการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและมีความเข้าใจในผลกระทบของข่าวต่อราคาสินทรัพย์

การเทรดแบบคู่ขนาน (Pairs Trading)

การเทรดแบบคู่ขนานเป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดทำการซื้อขายสินทรัพย์สองตัวที่มีความสัมพันธ์กัน โดยการซื้อสินทรัพย์หนึ่งและขายสินทรัพย์อีกตัวหนึ่งในเวลาเดียวกัน การเทรดแบบนี้ช่วยในการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในสถานการณ์ที่ตลาดมีความผันผวน

การเทรดตามอารมณ์ตลาด (Sentiment Trading)

การเทรดตามอารมณ์ตลาดเป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดทำการซื้อขายตามความรู้สึกและอารมณ์ของตลาดที่มีต่อสินทรัพย์ นักเทรดใช้เครื่องมือเช่นดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคหรือข้อมูลจากโซเชียลมีเดียในการวิเคราะห์ความรู้สึกของตลาดและทำการตัดสินใจซื้อขาย

การเทรดแบบอัตโนมัติ (Algorithmic Trading)

การเทรดแบบอัตโนมัติเป็นกลยุทธ์ที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า นักเทรดสามารถเขียนโปรแกรมหรือใช้ซอฟต์แวร์เทรดอัตโนมัติที่มีอยู่ในตลาดเพื่อลดการทำงานด้วยตนเองและเพิ่มความแม่นยำในการเทรด

การเทรด ทำเงินได้จริงไหม?

การเทรด หรือ Trading คือกระบวนการซื้อขายสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดการเงินเพื่อทำกำไร ซึ่งสามารถทำได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยสินทรัพย์ที่เทรดกันทั่วไป ได้แก่ หุ้น, ทองคำ, น้ำมัน, ค่าเงิน (Forex), สกุลเงินดิจิทัล (Crypto), และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เช่น NFTs

  • การเทรดหุ้นคือ การซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ซึ่งเทรดเดอร์ หรือ Trader คือบุคคลที่มีหน้าที่ในการซื้อขายหุ้นเหล่านี้โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากความแตกต่างของราคาหุ้น
  • การเทรด Forex คือ การซื้อขายค่าเงินต่างประเทศในตลาด Forex ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศหลายพันล้านดอลลาร์ต่อวัน เทรดเดอร์ในตลาดนี้จะทำการซื้อขายค่าเงินเพื่อทำกำไรจากความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
  • การเทรด Crypto คือ การซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum และสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีโอกาสทำกำไรสูงมาก แม้ว่าความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย
  • การเทรดทองคำและน้ำมัน คือ การซื้อขายทองคำและน้ำมันในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยการเทรดนี้สามารถทำได้ผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures contracts) หรือซื้อขายทองคำและน้ำมันจริงตามตลาดโลก เทรดเดอร์ในตลาดนี้จะทำกำไรจากความแตกต่างของราคาทองคำและน้ำมัน

ตัวอย่างที่ชัดเจนของการเทรดเหล่านี้มีการเทรด NFTs ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าสูง และสามารถซื้อขายได้ในตลาดออนไลน์ เช่น OpenSea โดย NFTs คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการยืนยันความเป็นเจ้าของและความสมบูรณ์ของสินทรัพย์นั้นๆ

การทำกำไรจากการเทรดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของเทรดเดอร์ในการวิเคราะห์ตลาดการตัดสินใจซื้อขายในเวลาที่เหมาะสม และการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเทรดมีความเสี่ยงสูง และสามารถสูญเสียเงินลงทุนได้ ดังนั้น ผู้ที่สนใจควรศึกษาและเข้าใจการเทรดอย่างละเอียดก่อนที่จะลงทุน

การเทรดทำเงินได้จริงไหม? คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับทักษะและความรู้ของผู้ลงทุน รวมถึงการวางแผนและการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และมีความรู้ความเข้าใจในตลาด มักจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในการขาดทุนก็ยังคงอยู่เช่นกัน

คำถามที่พบบ่อย

1. การเทรดคืออะไร?

การเทรดคือการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดการเงิน เช่น หุ้น, สกุลเงิน, หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อทำกำไรจากความแตกต่างของราคา

2. เทรดหุ้นคืออะไร?

เทรดหุ้นคือการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยมุ่งหวังที่จะทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น

3. เทรดเดอร์คือใคร?

เทรดเดอร์คือนักลงทุนที่ทำการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดการเงิน โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อทำกำไร

4. Trader ควรมีคุณสมบัติอย่างไร?

Trader ควรมีความรู้เกี่ยวกับตลาดการเงิน, ความสามารถในการวิเคราะห์, การจัดการความเสี่ยง, และวินัยในการเทรด

5. ความเสี่ยงในการเทรดมีอะไรบ้าง?

ความเสี่ยงในการเทรดรวมถึงการขาดทุนทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงของราคา, ความไม่แน่นอนของตลาด, และปัจจัยทางเศรษฐกิจ

6. วิธีการลดความเสี่ยงในการเทรด?

วิธีการลดความเสี่ยงคือการใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง เช่น การตั้ง stop-loss, การกระจายการลงทุน, และการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด

7. การเทรดแบบ day trading คืออะไร?

การเทรดแบบ day trading คือการซื้อขายสินทรัพย์ภายในวันเดียวกัน โดยไม่ถือครองข้ามคืน

8. การเทรดแบบ swing trading คืออะไร?

การเทรดแบบ swing trading คือการซื้อขายสินทรัพย์ที่ถือครองระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเน้นการจับแนวโน้มของตลาด

9. การเลือกแพลตฟอร์มการเทรดควรพิจารณาอะไรบ้าง?

ควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม, ค่าธรรมเนียม, ฟีเจอร์การเทรด, และการบริการลูกค้า

สรุป 

การเทรดเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจและสามารถทำกำไรได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง ควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนเริ่มลงมือเทรดเพื่อป้องกันความเสียหายทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้อยากที่จะแนะนำให้ผู้ลงทุนสังเกตุวิธีการลงทุนของตัวเองแล้วปรับดูให้เหมาะสมกับตัวเอง

บทความที่คุณอาจสนใจ