Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบนิเวศของ Bitcoin ได้เติบโตและพัฒนาในการรวมโทเค็นทั้งแบบใช้ร่วมกันได้ (Fungible) และไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ (Non-Fungible Tokens หรือ NFT) ภายในเครือข่าย ซึ่งในบทความนี้ จะเป็นการอธิบายถึงโปรโตคอล Bitcoin Runes ตั้งแต่ วิธีการทำงาน , ความแตกต่างที่สำคัญจากโทเค็น BRC-20 , และประโยชน์ต่าง ๆ
ทำความเข้าใจกันก่อน เนื่องด้วย Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกมีข้อจำกัดด้านภาษาสคริปต์บน Bitcoin blockchain ทำให้การพัฒนา Smart contracts และ Fungible โทเค็นเป็นไปได้ยาก เป็นผลให้เครือข่ายบล็อกเชนทางเลือกอื่น ๆ ได้รับความนิยม เช่น Ethereum, Solana, Cardano, Polkadot และอื่นๆ ทำให้นักพัฒนามีโอกาสสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (DApps) เพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในปี 2023 จากการเปิดตัวโทเค็น BRC-20 และตามมาด้วยการเปิดตัว Bitcoin Runes ในเดือนเมษายน 2024
Bitcoin Runes เปิดตัวบนบล็อก 840,000 หลังจากการ Halving โดย เคซีย์ โรดาร์มอร์ ผู้สร้างโปรโตคอล Ordinals เป็นผู้คิดค้น โดยเป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้สามารถสร้างโทเค็นแบบใช้ร่วมกันได้ (Fungible) บนบล็อกเชน Bitcoin โดยมีความแตกต่างจากโทเค็น BRC-20 และ SRC-20 ที่ทำงานบนบล็อกเชนเครือข่าย Bitcoin เช่นเดียวกัน
Runes ไม่ได้อิงตามทฤษฎีของโปรโตคอล Ordinals และได้รับการออกแบบให้มีความเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยใช้โมเดลบล็อกเชน Bitcoin เช่น โมเดล UTXO และ opcode OP_RETURN
นอกจากนี้มันยังไม่เหมือนกับโปรโตคอล Fungible โทเค็นอื่น ๆ ที่มีอยู่ใน Bitcoin ตรงที่ Runes จะไม่พึ่งพาข้อมูลนอกเครือข่าย (off-chain) เหมือนในกรณีของ RGB และ Tarot Assets และไม่ต้องใช้โทเค็นดั้งเดิมสำหรับการดำเนินการเช่น Omni Layer และ Counterparty
ตามข้อมูลจาก OKX พบว่า การเปิดตัว Runes ยังส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน Bitcoin ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ในวันที่เปิดตัวในวันที่ 20 เมษายน โดยค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมโดยเฉลี่ยสูงถึงกว่า 127 ดอลลาร์ (4,666 บาท)
Runes ใช้คำสั่ง OP_RETURN และระบบ UTXO เพื่อลดความซับซ้อนในการสร้าง Fungible โทเค็นบนบล็อกเชน Bitcoin โดย Rune ได้รับการกำหนดให้กับ UTXO โดยใช้ Message โปรโตคอลที่มีรายละเอียดเฉพาะ เช่น Rune ID , ดัชนีเอาต์พุต , และจำนวน โดยทั้งหมดจะจัดเก็บไว้ในเอาต์พุต OP_RETURN
Runes ยังใช้ประโยชน์จากความสามารถโดยธรรมชาติของ Bitcoin สำหรับการจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย โดยวิธีการนี้จะช่วยลดการเกิด UTXO “ขยะ” ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจทำให้เครือข่ายแออัด จนส่งผลให้ธุรกรรมช้าลง หรือทำให้ผู้ใช้งานต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ ยอดคงเหลือของ Rune จะถูก track ภายใน UTXO แทนที่จะต้องเชื่อมโยงกับที่อยู่กระเป๋าเงิน โดย Rune จะถูกโอนโดยใช้ธุรกรรม Bitcoin โดยมีเอาต์พุต OP_RETURN ที่ระบุรายละเอียดการโอนเอาไว้
Rune ยังสามารถ สลัก , Mint , และถ่ายโอนได้โดยใช้ Runestones ซึ่งเป็นข้อความที่จัดเก็บไว้ในเอาท์พุตธุรกรรมของ Bitcoin ซึ่งการสร้างจะเกี่ยวข้องกับการตั้งค่าคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ชื่อและสัญลักษณ์ ส่วนการ Mint จะสร้างโทเค็นใหม่ตามคุณสมบัติที่สลักไว้ และในส่วนการโอน Rune จะมีรายละเอียดการโอน เช่น หมายเลขเอาต์พุต , Rune ID และจำนวน
Runes นั้นใช้ประโยชน์จากกลไก UTXO พื้นฐานของ Bitcoin เพื่อส่งเสริมการสร้างโทเค็น ในทางกลับกัน BRC-20 อาศัยทฤษฎีของ Ordinal โดยที่ข้อมูลจะถูกแนบโดยตรงกับ satoshi แต่ละตัว ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า และอาจทำให้เกิดความแออัดของเครือข่ายได้
ระบบนิเวศของเครือข่าย Bitcoin ดูจะมีแนวโน้มที่ดี โดยได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่โดดเด่น เช่น Taproot ซึ่งนำมาใช้ในปี 2021 และช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายขนาดและความเป็นส่วนตัวของ Bitcoin ทำให้สร้างเงื่อนไขในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
SegWit ก็เป็นอีกหนึ่งการอัพเกรดที่สำคัญที่ช่วยให้เครือข่าย Bitcoin เพิ่มความจุในการทำธุรกรรมและช่วยลดค่าธรรมเนียมโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่บล็อค และการเปิดตัว Ordinals ก็ได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่คล้ายกับ NFT บนเครือข่าย โดยการจารึกสิ่งประดิษฐ์ดิจิทัลลงบน Bitcoin โดยตรง
และด้วยแนวคิดใหม่ ๆ เช่น Bitcoin Runes ที่เป็นการแนะนำการสร้าง fungible โทเค็นบนบล็อกเชน Bitcoin แต่อย่างไรก็ตาม Runes ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และยังได้รับเสียงตอบรับที่หลากหลายจากชุมชน Bitcoin บ้างก็ยกย่องว่ามันมีศักยภาพในการขยายการใช้งานของ Bitcoin บ้างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของรูปแบบธุรกรรมที่เคยเรียบง่ายของ Bitcoin ดังนั้นมันจึงยังต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับข้อกังวลเหล่านี้ โดยการปรับปรุงความเสถียรของโปรโตคอลและคุณสมบัติด้านความปลอดภัย
แต่ด้วยข้อดีของมันที่ทำให้ Bitcoin สามารถแข่งขันกับเครือข่ายบล็อกเชนอื่น ๆ ได้มากขึ้น และยังเพิ่มการรองรับเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนและแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ สิ่งเหล่านี้จะดึงดูดนักพัฒนาและผู้ใช้ใหม่ ๆ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความปลอดภัยและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งของ Bitcoin ได้มากขึ้น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคอยติดตามข่าวสารล่าสุดอยู่เสมอก่อนตัดสินใจลงทุน