Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com

December 27, 2024
บทความ

ไขข้อสงสัย Bullish (ตลาดกระทิง) และ Bearish (ตลาดหมี) คืออะไร?

ไขข้อสงสัย Bullish (ตลาดกระทิง) และ Bearish (ตลาดหมี) คืออะไร?

ในโลกการเงิน เรามักได้ยินคำว่า Bullish (ตลาดกระทิง) และ Bearish (ตลาดหมี) ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือการสะท้อนถึงความรู้สึกและการคาดการณ์ของผู้ที่เข้าร่วมในตลาดในขณะนั้น  ซึ่งภาวะตลาดกระทิงและหมีไม่ได้เป็นเพียงคำศัพท์ทางเทคนิค แต่ยังบ่งบอกถึงโอกาสและความเสี่ยงในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของเราอีกด้วย

เพราะฉะนั้นแล้ว หากเราทำความเข้าใจแนวคิดทั้งสองนี้ได้ก็ไม่เพียงแต่ช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องตัดสินใจลงทุนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการมองหาโอกาสและเผชิญกับความท้าทายของตลาดการเงิน ด้วยเหตุนี้ ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกคำว่า Bullish และ Bearish เพื่อทำความเข้าใจให้แน่ชัดว่ามันหมายถึงอะไร และสิ่งที่นักลงทุนควรกระทำในช่วงสภาวะตลาดดังกล่าว 

Bullish (ตลาดกระทิง) และ Bearish (ตลาดหมี) คืออะไร?

ภาพจาก moonpay.com

"ตลาดกระทิง" และ "ตลาดหมี" เป็นคำสองคำที่ใช้กันทั่วไปในตลาดการเงินเพื่ออธิบายอารมณ์ของตลาดและแนวโน้มราคาที่คาดการณ์ไว้ของสินทรัพย์ต่าง ๆ  เช่น คริปโต , หุ้น , หรือสินค้าโภคภัณฑ์

  • ตลาดกระทิง  : เมื่อตลาดมีสถานะ "กระทิง" หมายความว่านักลงทุนเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดและคาดว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และอาจทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่กระโดดเข้ามาซื้อสินทรัพย์โดยหวังว่าจะขายในภายหลังในราคาที่สูงขึ้นเพื่อสร้างผลกำไร
  • ตลาดหมี : เมื่อตลาดมีสถานะ  "หมี"  หมายความว่านักลงทุนเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะลดลงในอนาคต โดยเป็นการบ่งบอกถึงแนวโน้มเชิงลบต่อตลาดและคาดว่าราคาจะลดลงอย่างมาก ทำให้อาจมีการเทขายสินทรัพย์หรือทำกระทำการอื่น ๆ เพื่อหากำไรจากราคาที่ลดลงตามที่คาดการณ์ไว้

ต่อไปเรามาดูความแตกต่างที่สำคัญระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมีกันดีกว่า

ลักษณะ

ตลาดหมี

ตลาดกระทิง

ความเชื่อมั่นของตลาด

แง่ร้ายและเชิงลบ

แง่ดีและเป็นบวก

พฤติกรรมนักลงทุน

เทขายและออกจากตลาด

ซื้อมากขึ้นและถือต่อ

รูปแบบการลงทุน

เน้นลงทุนความเสี่ยงต่ำ

เน้นซื้อขายเชิงรุก,ความเสี่ยงมากขึ้น

มูลค่าของสินทรัพย์

สินทรัพย์ส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง

สินทรัพย์ส่วนใหญ่มีการแข็งค่าของราคาอย่างมาก

ความรู้สึกของคนในตลาด

กลัวและระมัดระวังในการลงทุน

มีความมั่นใจ และพร้อมเสี่ยงมากขึ้น

สภาพคล่อง

ต่ำ

สูง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้ง 2 ตลาดจะมีภาวะที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่นั่นก็คือ “โอกาส” สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นช่องทาง เนื่องจากทั้งสองตลาดถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวที่ผันผวนของตลาด ไม่ว่าจะทั้งการใช้การซื้อขายฟิวเจอร์ หรือการช้อนซื้อในช่วงที่ราคาต่ำในตลาดหมี และถือไว้รอไปขายที่ราคาสูงในตลาดกระทิง

กราฟตลาดกระทิง

ภาพจาก moonpay.com

แม้จะมีหลายวิธีในการตรวจจับแนวโน้มตลาดกระทิง แต่วิธีหนึ่งก็คือการดูกราฟราคาและหารูปแบบ เช่น "Higher low" และ "Higher high"

  • Higher low หรือจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า
  • Higher high หรือจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดเก่า

และอีกวิธีหนึ่งในการสังเกตแนวโน้มขาขึ้นก็คือการดูค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่จะแสดงราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลาดขึ้นไป ก็จะบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น และเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลาดลง ก็จะแสดงว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นขาลง

นอกจากนี้ ในตลาดคริปโต เหตุการณ์ข่าวบางอย่างก็อาจทำให้เกิดภาวะกระทิงได้ ตัวอย่างเช่น ราคาของ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2024 ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ที่อนุมัติ Spot Bitcoin ETF ให้นักลงทุนในสหรัฐฯสามารถลงทุนได้

กราฟตลาดหมี

ภาพจาก moonpay.com

ลักษณะของกราฟในตลาดหมีจะต่างจากในตลาดกระทิง โดยจะจุดสังเกตคือ “Lower highs” และ “Lower lows”

  • Lower high หรือจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า
  • Lower low หรือจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า

และเช่นเดียวกัน เรายังสามารถมองเห็นแนวโน้มขาลงได้ด้วยการศึกษาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เมื่อเส้นมีการลาดลง โดยทั่วไปก็จะเป็นการบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลง

นอกจากนี้ ตลาดหมีคริปโตสามารถถูกกระตุ้นได้จากเหตุการณ์ข่าวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ , การโดนแฮ็ก , การปิดตัวของเว็บเทรด เช่น FTX ซึ่งเป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องกันมาจากระเบิดของ Luna , UST จนทำให้หลายบริษัทในตลาดคริปโตต้องปิดตัวลง และทำให้เกิดตลาดหมีที่ยาวนานกินเวลาหลายปี

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในตลาดกระทิงหรือตลาดหมี

ตลาดคริปโตนั้นมีความผันผวนที่มากกว่าตลาดอื่น และอาจเป็นเรื่องยากที่จะระบุแนวโน้มในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน  อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวบ่งชี้สำคัญบางตัวที่สามารถช่วยเราหาแนวโน้มขาขึ้นและขาลงได้

แม้จะมีหลายวิธีในการระบุแนวโน้มขาขึ้นและขาลงในตลาดคริปโต  แต่วิธีหนึ่งที่นิยมกันมากก็คือการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีตเพื่อหารูปแบบที่สามารถนำมาใช้ทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตเพื่อหาแนวโน้ม Trend Line ซึ่งจะมี 3 แบบ ได้แก่ ขาขึ้น (Uptrend), ขาลง (Downtrend) และ ออกข้าง (Sideway)

อีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันก็คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน โดยเป็นวิธีการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ , การเงิน , และปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาของสกุลเงินดิจิทัล

สรุป 

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมีในตลาดคริปโตถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด  ซึ่งหากเราตระหนักถึงลักษณะของตลาดแต่ละประเภทและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม เราก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงลงได้ 

อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่าการลงทุนในตลาดคริปโตนั้นมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาการยอมรับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของเรา  รวมถึงทำการศึกษาข้อมูลด้วยตนเองให้ละเอียดทั้งในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค

บทความที่คุณอาจสนใจ