Bitcoin Addict เปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่เป็น www.bitcoinaddict.com
ในโลกการเงิน เรามักได้ยินคำว่า Bullish (ตลาดกระทิง) และ Bearish (ตลาดหมี) ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือการสะท้อนถึงความรู้สึกและการคาดการณ์ของผู้ที่เข้าร่วมในตลาดในขณะนั้น ซึ่งภาวะตลาดกระทิงและหมีไม่ได้เป็นเพียงคำศัพท์ทางเทคนิค แต่ยังบ่งบอกถึงโอกาสและความเสี่ยงในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของเราอีกด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว หากเราทำความเข้าใจแนวคิดทั้งสองนี้ได้ก็ไม่เพียงแต่ช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องตัดสินใจลงทุนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการมองหาโอกาสและเผชิญกับความท้าทายของตลาดการเงิน ด้วยเหตุนี้ ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกคำว่า Bullish และ Bearish เพื่อทำความเข้าใจให้แน่ชัดว่ามันหมายถึงอะไร และสิ่งที่นักลงทุนควรกระทำในช่วงสภาวะตลาดดังกล่าว
"ตลาดกระทิง" และ "ตลาดหมี" เป็นคำสองคำที่ใช้กันทั่วไปในตลาดการเงินเพื่ออธิบายอารมณ์ของตลาดและแนวโน้มราคาที่คาดการณ์ไว้ของสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น คริปโต , หุ้น , หรือสินค้าโภคภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้ง 2 ตลาดจะมีภาวะที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่นั่นก็คือ “โอกาส” สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นช่องทาง เนื่องจากทั้งสองตลาดถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวที่ผันผวนของตลาด ไม่ว่าจะทั้งการใช้การซื้อขายฟิวเจอร์ หรือการช้อนซื้อในช่วงที่ราคาต่ำในตลาดหมี และถือไว้รอไปขายที่ราคาสูงในตลาดกระทิง
แม้จะมีหลายวิธีในการตรวจจับแนวโน้มตลาดกระทิง แต่วิธีหนึ่งก็คือการดูกราฟราคาและหารูปแบบ เช่น "Higher low" และ "Higher high"
และอีกวิธีหนึ่งในการสังเกตแนวโน้มขาขึ้นก็คือการดูค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่จะแสดงราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลาดขึ้นไป ก็จะบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น และเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลาดลง ก็จะแสดงว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นขาลง
นอกจากนี้ ในตลาดคริปโต เหตุการณ์ข่าวบางอย่างก็อาจทำให้เกิดภาวะกระทิงได้ ตัวอย่างเช่น ราคาของ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2024 ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ที่อนุมัติ Spot Bitcoin ETF ให้นักลงทุนในสหรัฐฯสามารถลงทุนได้
ลักษณะของกราฟในตลาดหมีจะต่างจากในตลาดกระทิง โดยจะจุดสังเกตคือ “Lower highs” และ “Lower lows”
และเช่นเดียวกัน เรายังสามารถมองเห็นแนวโน้มขาลงได้ด้วยการศึกษาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เมื่อเส้นมีการลาดลง โดยทั่วไปก็จะเป็นการบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลง
นอกจากนี้ ตลาดหมีคริปโตสามารถถูกกระตุ้นได้จากเหตุการณ์ข่าวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ , การโดนแฮ็ก , การปิดตัวของเว็บเทรด เช่น FTX ซึ่งเป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องกันมาจากระเบิดของ Luna , UST จนทำให้หลายบริษัทในตลาดคริปโตต้องปิดตัวลง และทำให้เกิดตลาดหมีที่ยาวนานกินเวลาหลายปี
ตลาดคริปโตนั้นมีความผันผวนที่มากกว่าตลาดอื่น และอาจเป็นเรื่องยากที่จะระบุแนวโน้มในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวบ่งชี้สำคัญบางตัวที่สามารถช่วยเราหาแนวโน้มขาขึ้นและขาลงได้
แม้จะมีหลายวิธีในการระบุแนวโน้มขาขึ้นและขาลงในตลาดคริปโต แต่วิธีหนึ่งที่นิยมกันมากก็คือการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีตเพื่อหารูปแบบที่สามารถนำมาใช้ทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตเพื่อหาแนวโน้ม Trend Line ซึ่งจะมี 3 แบบ ได้แก่ ขาขึ้น (Uptrend), ขาลง (Downtrend) และ ออกข้าง (Sideway)
อีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันก็คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน โดยเป็นวิธีการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ , การเงิน , และปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาของสกุลเงินดิจิทัล
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมีในตลาดคริปโตถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด ซึ่งหากเราตระหนักถึงลักษณะของตลาดแต่ละประเภทและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม เราก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงลงได้
อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่าการลงทุนในตลาดคริปโตนั้นมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาการยอมรับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของเรา รวมถึงทำการศึกษาข้อมูลด้วยตนเองให้ละเอียดทั้งในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค