Announcement เปลี่ยนจากตรงนี้

November 16, 2020
Featured|บทความ

Ethereum 2.0 คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ?

ในอีกไม่นานนี้ Ethereum ซึ่งเป็น Blockchain Platform ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันนั้นจะมีการเริ่มต้นพัฒนาเข้าสู่ Ethereum 2.0  ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขความสามารถในการความสามารถในการรองรับธุรกรรมและความปลอดภัยของเครือข่ายผ่านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนจากกลไก consensus ไปสู่ proof of stake

การพัฒนา Ethereum และปัญหาคอขวด

ในปัจจุบันนั้น Ethereum นั้นเป็น Blockchain Platform ที่เป็นนิยมที่สุดโดยมันเป็น Platform ที่ผู้ใช้งานสามารถพัฒนา Application ต่างๆลงไปได้ ซึ่งปัจจุบันมี App และ Project จำนวนมากทำงานอยู่ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน Ethereum นั้นสามารถรองรับธุรกรรมได้เพียง 30 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอ การที่ Ethereum จะกลายเป็น World computer ได้มันจะต้องรับธุรกรรมจำนวนมากกว่านี้ได้

Ethereum 2.0 คืออะไร

Ethereum 2.0 หรือ ETH2 หรือ“Serenity” เป็นซึ่งเป็นการอัพเกรดในส่วนสุดท้ายหลังจาก Frontier, Homestead และ Metropolis โดยในเวอร์ชั่นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับขนาดของเครือข่าย Ethereum เพื่อให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากขึ้นและลดปัญหาคอขวด โดยคาดว่าจะเปิดตัว Phase 0 ในวันที่ 1 ธันวาคม 2020

Ethereum 2.0 แตกต่างจาก Ethereum อย่างไร?

Ethereum 1.0 นั้นใช้กลไก consensus ที่เรียกว่า Proof of work (PoW) แต่ Ethereum 2.0 จะเปลี่ยนไปใช้กลไก Proof of Stake (PoS) 

blockchains เช่น Ethereum จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมฉันทามติ เช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ในปัจจุบันที่ใช้กลไกที่เรียกว่า Proof of Work (PoW)

ในระบบ PoW นักขุดจะใช้พลังประมวลผลของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เพื่อไขปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและตรวจสอบธุรกรรมใหม่ โดยนักขุดคนแรกที่ไขปริศนาได้ และบันทึกธุรกรรมทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นบล็อกเชน จากนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็น ETH อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้อาจต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากพอสมควร

ขณะที่ Proof of Stake (PoS) นั้นแตกต่างกันออกไป โดยแทนที่จะเป็นผู้ขุดที่เป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม จะเป็น validator ที่จะทำการ stake crypto เพื่อสิทธิ์ในการตรวจสอบการทำธุรกรรมโดยพิจารณาจากจำนวนเงินที่พวกเขาถือครองและระยะเวลาที่เก็บไว้

จากนั้น validator อื่น ๆ จะต้องยืนยันได้ว่าพวกเขาเห็นบล็อก เมื่อมีการยืนยันเพียงพอก็สามารถเพิ่มบล็อกลงใน blockchain ได้ จากนั้น validator จะได้รับรางวัลสำหรับบล็อกที่ประสบความสำเร็จ กระบวนการนี้เรียกว่า “forging” หรือ “minting”

ข้อได้เปรียบหลักของ PoS คือประหยัดพลังงานกว่า PoW มาก เนื่องจากแยกการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ใช้พลังงานมากออกจาก consensus อัลกอริทึม นอกจากนี้ยังหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้พลังในการประมวลผลมากนักเพื่อรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชน

Ethereum 2.0 จะรองรับธุรกรรรมได้ดีกว่า Ethereum 1.0 อย่างไร

สาเหตุหลักประการหนึ่งของการอัปเกรดเป็น Ethereum 2.0 คือความสามารถในการรองรับธุรกรรม ด้วย Ethereum 1.0 เครือข่ายสามารถรองรับธุรกรรมได้ประมาณ 30 รายการต่อวินาทีเท่านั้น ทำให้เกิดความล่าช้าและความแออัด แต่เมื่อ Ethereum 2.0 พัฒนาเสร็จสิ้นมันจะสามารถทำได้ถึง 100,000 รายการต่อวินาที  ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้จะทำได้โดยการใช้ shard chains

Ethereum 2.0 จะปลอดภัยมากขึ้นได้อย่างไร?

Ethereum 2.0 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เครือข่าย proof of stake ส่วนใหญ่มี set of validator ขนาดเล็กซึ่งทำให้ระบบ centralized มากขึ้นและความปลอดภัยของเครือข่ายลดลง แต่ Ethereum 2.0 ต้องการ validator ขั้นต่ำ 16,384 ราย ทำให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้นและด้วยเหตุนี้จึงปลอดภัยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตามที่ Lior Yaffe ผู้ร่วมก่อตั้ง  Jelurida  และหัวหน้าผู้พัฒนาหลักของ Ardor  และ  Nxt  blockchains กล่าวว่ายังมีช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องระดับอัตราการมีส่วนร่วมในเครือข่าย

การตรวจสอบความปลอดภัยของ code Ethereum 2.0 มีการดำเนินการโดยองค์กรต่าง ๆรวมถึง Least Authority บริษัทรักษาความปลอดภัยบน blockchain

https://twitter.com/drakefjustin/status/1289656431927611398

Ethereum Foundation กำลังจัดตั้งทีมรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะสำหรับ Ethereum 2.0 เพื่อค้นหาปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นในสกุลเงินดิจิทัล โดยในทวีตนักวิจัยของ Ethereum 2.0 Justin Drake ระบุว่างานวิจัยดังกล่าวจะรวมถึง "การ fuzzing ,  bounty hunting, pager duty , การสร้างแบบจำลองเศรษฐกิจ , applied cryptanalysis , การตรวจสอบอย่างเป็นทางการ" 

การอัพเกรด Ethereum 2.0 จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

หลังจากการทดสอบ testnet ที่เปิดตัวไป ได้แก่ Topaz , Medalla , Spadina และ Zinken การเปิดตัว Ethereum 2.0 แบบเต็มตัวจะเกิดขึ้นในสามช่วง ได้แก่ : เฟส 0, 1 และ 2 (นักพัฒนาต้องการนับจากศูนย์) โดยเฟส 0 มีเป้าหมายเปิดตัวในวันที่ 1 ธันวาคม 2020 และเฟสอื่น ๆ จะมาในปีต่อ ๆ ไป

เฟส 0 จะได้เห็นการใช้งานของ Beacon Chain; ซึ่งจะจัดเก็บและจัดการรีจิสตรีของ validators ตลอดจนปรับใช้กลไก consensus Proof of Stake (PoS) สำหรับ Ethereum 2.0 ขณะที่ Ethereum PoW ดั้งเดิมก็จะยังทำงานควบคู่ไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีการหยุดชะงักของข้อมูล ดังนั้นแล้วการเริ่มต้นเฟส 0 ในเดือนธันวาคมนี้นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่มีผลใดๆต่อการทำงานของ Ethereum 1.0

เฟส 1 กำหนดไว้ในปี 2021 โดยจะเห็นการรวม proof of stake shard chains ซึ่งคาดว่าเครือข่ายจะเปิดตัวด้วย 64 shards (ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากกว่า Ethereum 1.0 ถึง 64 เท่า) แม้ว่าในตอนเปิดตัวจะไม่รองรับบัญชีหรือ smart contract

เฟส 1.5 เป็นการอัปเดตชั่วคราวในปี 2021 โดยจะได้เห็นว่า Ethereum mainnet กลายเป็น  shard  อย่างเป็นทางการ และเปลี่ยนไปใช้ proof of stake

เฟส 2 จะเปิดตัวในปี 2021/22 โดยจะได้เห็น shard ที่ใช้งานได้เต็มรูปแบบ และเข้ากันได้กับ smart contract นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการเพิ่มบัญชี Ether และการเปิดใช้งานการโอนและถอน รวมถึงการc ross-shard transfers และ contract calls  และจะสร้างสภาพแวดล้อมการดำเนินการสำหรับแอปที่ปรับขนาดได้ ซึ่งสร้างขึ้นจาก Ethereum 2.0

กันยายน 2020 มีข่าวว่า Spadina testnet ประสบปัญหาในการเปิดตัว จึงทำให้ต้องมีการ "ซ้อมใหญ่" อีกอย่างน้อย 1 ครั้งก่อนเปิดตัว โดย  Spadina เป็นเครือข่าย testnet ระยะสั้นที่ออกแบบมาเพื่อทดลอง genesis หรือการสร้างบล็อกแรกบน Ethereum 2.0 ซึ่งแตกต่างจาก Medalla testnet ที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งเป็น sandbox  ทั่วไปที่แสดงถึงเครือข่ายเวอร์ชันที่พร้อมใช้งาน โดยปัญหาเกี่ยวกับ Spadina testnet รวมถึงการมีส่วนร่วมที่ต่ำควบคู่ไปกับ "ความสับสน" และ "เงินฝากที่ไม่ถูกต้อง"

https://twitter.com/dannyryan/status/1311033287004037121?s=20

ในเดือนตุลาคมปี 2020 Ben Edgington เจ้าของผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้า ETH 2.0 Teku ที่ ConsenSys  กล่าวว่า Medalla testnet “มีปัญหาจากการมีส่วนร่วมที่ต่ำมาก” โดยเขาเสริมว่า ผู้คนเริ่มเบื่อกับ testnet” และ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปต่อ”

Ethereum 2.0 จะเปิดตัวเมื่อใด

Edgington คาดการณ์ว่า เมื่อ deposit contract พร้อมใช้งาน หลังจากนั้นอีก “6-8 สัปดาห์ต่อมา” beacon chain genesis จะเริ่มขึ้นซึ่งเป็นช่วงระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมปี 2020

อนาคตของ Ethereum 2.0

Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้วาง roadmap ว่าอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้าจะพัฒนา Ethereum 2.0 ได้อย่างไร

https://twitter.com/VitalikButerin/status/1240365047421054976?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1240365047421054976%7Ctwgr%5Eshare_3&ref_url=https%3A%2F%2Fdecrypt.co%2Fresources%2Fwhat-is-ethereum-2-0

เขากล่าวว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมามี “การเปลี่ยนแปลงจากการวิจัย "blue sky" โดยพยายามทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นไปได้ในการไปสู่การวิจัยและพัฒนาที่เป็นรูปธรรม โดยพยายามเพิ่มประสิทธิภาพดั้งเดิม เฉพาะที่เรารู้ว่าสามารถนำไปใช้ได้จริง”

เขากล่าวว่าความท้าทายส่วนใหญ่ในขณะนี้คือ “การพัฒนาที่มากขึ้นเรื่อย ๆ และส่วนแบ่งการพัฒนาจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป”

https://twitter.com/VitalikButerin/status/1277961594958471168?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1277961594958471168%7Ctwgr%5Eshare_3&ref_url=https%3A%2F%2Fdecrypt.co%2Fresources%2Fwhat-is-ethereum-2-0

ในเดือนมิถุนายนปี 2020 Buterin ตั้งข้อสังเกตว่า Ethereum 2.0 จะต้องอาศัยวิธีการปรับขนาดในปัจจุบันเช่น ZK-rollups เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีก่อนที่จะใช้งาน Shard chain

Ethereum 2.0 มีผลต่อราคาของ Ethereum อย่างไร?

สำหรับบางคนการเปิดตัว Ethereum 2.0 เป็นสิ่งที่สกุลเงินดิจิทัลต้องการ

“เมื่อ Ethereum มีความสามารถในการปรับขนาดได้ผ่านเทคโนโลยีเลเยอร์ 2 หรือ ETH 2.0 ทุกคำถามจะได้รับคำตอบ” Jamie Anson ผู้ก่อตั้ง Nifty Orchard และผู้จัดงาน Ethereum London กล่าว

อีกนัยหนึ่งก็คือ ความสามารถในการปรับขนาดได้มากขึ้น หมายถึงการใช้งานที่มากขึ้นเพื่อรอบรับความต้องการที่มากขึ้น ซึ่งอย่างน้อยก็ในทางทฤษฎีมันก็ควรขับเคลื่อนราคาของ Ethereum ให้สูงขึ้น “เมื่อ ETH 2.0 รองรับ 100,000 รายการต่อวินาที นั่นหมายถึงประสบการณ์ที่ราบรื่นอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้คนนับพันล้านคน” Anson กล่าวเสริม

Matt Cutler ซีอีโอของ Blocknative ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่ความซับซ้อนของ mempool นั้นมองโลกในแง่ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าธรรมเนียม GAS อาจลดลงเมื่อเปิดตัว Ethereum 2.0  “ฐานลูกค้าของเราเห็นว่า การลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและการเพิ่มปริมาณงานในเครือข่าย ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในการก้าวไปข้างหน้า”

Cutler กล่าวเสริมว่า  “สิ่งนี้จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อราคาของ ETH แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น"

อ้างอิง : LINK

บทความที่คุณอาจสนใจ